การวัดและเครื่องวัดพลังงาน
เมื่อเราคำนวณกำลังที่สูญเสียในโหลดในช่วงเวลาที่กำหนดเราจะได้รับพลังงานงานที่ใช้ไปซึ่งเขียนได้ในรูป
เมื่อวัดช่วงเวลา (t2 – t1) เป็นวินาที v เป็นโวลต์ และ I เป็นแอมแปร์
พลังงาน W จะมีหน่วยเป็น วัตต์ –
วินาที หรือก็คือ จูล (joule) หน่วยที่นิยมใช้วัดพลังงาน คือ กิโลวัตต์ –
ชั่วโมง ซึ่งหมายถึงการใช้กำลัง 1,000 วัตต์ เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
มาตรวัดวัตต์ –
ชั่วโมงแบบทอมสัน (Thomson)
เป็นมาตรวัดที่พัฒนาโดย Elihu Thomson ในปี 1889
แม้ว่าจะมีจุดประสงค์เพื่อที่จะพัฒนาเป็นมาตรวัด
วัตต์ – ชั่วโมง กระแสสลับ แต่ปัจจุบันจะใช้วัดพลังงานกระแสตรงเป็นหลัก
(รูปที่ 8.34)
โดยหลักการทำงานของเครื่องวัดนี้ก็คือ
มอเตอร์เล็กๆ
ซึ่งมีความเร็วที่ขณะใดขณะหนึ่งนั้นจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับกำลังที่ผ่านตัวมัน
ดังนั้นจำนวนรอบทั้งหมดต่อหนึ่งช่วงเวลา ก็จะเป็นสัดส่วนกับพลังงานทั้งหมดที่ถูกใช้ไปในช่วงเวลานี้
(รูปที่ 8.34)
S1 จะต่อกับขดลวด FF ซึ่งทำหน้าที่สร้างสนามแม่เหล็ก
ขด FF นี้จะมี 2 ชุดต่ออนุกรมกัน และ ต่ออนุกรมกับโหลด ขนาดของขดลวดนี้ต้องใหญ่
เพื่อสามารถนำกระแสสูงเท่าที่โหลดต้องการ และต้องต่อให้สนามเสริมกัน
อาร์เมเจอร์ก็จะหมุนอยู่ในสนามที่เกิดขึ้นนี้
S2 ต่อกับโหลดโดยตรง
แรงดันที่ตกคร่อมอาร์เมเจอร์ คือ แรงดันของสายส่ง (Line Voltage) เพราะว่ามันต่อผ่านขดสนามชดเชย F และ R ค่าน้อยๆ
ดังนั้นกระแสในอาร์เมเจอร์จะเป็นสัดส่วนกับแรงดันกระแสส่ง
ถ้าสนามอาร์เมเจอร์ป็นสัดส่วนกับแรงดันของสายส่ง
สนามแม่เหล็กโดยรอบเป็นสัดส่วนกับกระแสโหลด ดังนั้นแรงบิดที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นสัดส่วนกับผลคูณของ
EL , IL หรือจะกล่าวได้ว่า แรงบิดจะขึ้นอยู่กับกำลังที่ผ่านเครื่องวัดสู่โหลด
ถ้าต้องการเครื่องวัดค่ากระแสที่ถูกต้อง
จะมีแรงบิดที่มาหน่วงแรงบิดที่เกิดขึ้นในส่วนที่เคลื่อนที่แรงนี้จะต้องเป็นสัดส่วนกับความเร็วในการหมุนของส่วนที่เคลื่อนที่
เพื่อให้เกิดสภาวะนี้จะต้องมีแผ่นอลูมีเนียม (D) ติดบนแกนของอาร์เมเจอร์
จานนี้จะหมุนระหว่างขั้วแม่เหล็กถาวร (M) เมื่อจานตัดผ่านสนามของแม่เหล็กถาวรจะเกิดแรงเคลื่อนไฟฟ้าที่ถูกเหนี่ยวนำ
ทำให้เกิดกระแสเหนี่ยวนำในจาน สนามแม่เหล็กของกระแสเหนี่ยวนำจะกระทำกับสนาม (ของ M)
ทำให้การหมุนของจานช้าลง
ความเข้ม (Strength) ของสนามแม่เหล็กที่มาต้านนี้ เป็นสัดส่วนกับความเร็วเชิงมุม (Angular
Velocity) ของจาน เพราะว่ามันกระทำกับความเข้มข้นสนามที่คงที่ (ของ M)
ดังนั้นผลของการหน่วงจะเป็นสัดส่วนกับความเร็วของการหมุน
ขด F ถูกต่อเข้าไปในลักษณะให้สนามแม่เหล็กของมันเสริมกับของขด
FF เพื่อเอาชนะความฝืด แม้ว่าจะต้องทำให้จานหมุนเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้
แต่ความฝืดไม่สามารถที่จะถูกกำจัดไปได้อย่างสิ้นเชิง จึงยังคงต้องให้ขด F เพิ่มเข้าไปด้วย
ส่วนที่หมุนจะได้ถูกต่อ (ทางกล) ไปยังส่วนที่แสดงจำนวนรอบการหมุนที่อ่านออกมาเป็นค่าพลังงานที่ใช้ไป
มาตรวัดวัตต์ – ชั่วโมงแบบเหนี่ยวนำ
เป็นมาตรวัดวัตต์ชั่วโมงที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
มาตรวัดแบบนี้พัฒนาโดย Schallenberger ในปี 1888 มาตรวัดแบบนี้มีราคาไม่แพง
และ ทำงานด้วยความถูกต้องเป็นเวลานาน โดยเกือบที่เราจะไม่ต้องทำการบำรุงรักษา
นอกจากนั้นมันยังไม่ถูกกระทบกระเทือนโดยการเปลี่ยนโหลดอย่างมาก การเปลี่ยนของตัวประกอบกำลัง
ตลอดจนสิ่งแวดล้อม
มันจะบันทึกพลังงานที่โหลดใช้ไปโดยการนับจำนวนรอบที่จานอะลูมิเนียมหมุนไป
การหมุนของอะลูมิเนียมเนื่องจากกำลังที่ผ่านมาตรวัด
หลักการทำงาน
มอเตอร์เหนี่ยวนำซึ่งเอาต์พุตถูกดูดกลืนโดยระบบเบรกของมันและสูญเสียอยู่ในรูปของความร้อนเรื่องบิดที่ทำให้จานอลูมิเนียมหมุน
จะเนื่องมาจากปฏิกิริยาระหว่างกระแสวนที่ถูกเหนี่ยวนำในจานกับสนามแม่เหล็ก
แรงบิดที่ขณะใดๆจะหาได้จาก
T = K1 ω∅im∅2m sinα
เมื่อ ∅im = ∅I
เป็นเส้นแรงที่เกิดโดยขดลวดกระแส ∅2m = ∅v เป็นเส้นแรงที่เกิดโดยขดของแรงดัน
α เป็นมุมที่ต้องการระหว่าง ∅im
กับ ∅2m (ปกติ ∅v กับ V จะทำมุมไม่เท่ากับ 90 องศา พอดี
เนื่องจากความต้านทานของขดลวด)
ดังนั้น จะใส่แหวน (Shaded Ring) ที่ขากลาง
เพื่อทำหน้าที่ปรับให้เส้นแรง ∅v ทำมุมกับแรงดันที่ป้อนเท่ากับ
90 องศา
จากแผนภาพเฟสเซอร์ เส้นแรงที่กำเนิดโดยขดลวดกระแส
จะมีเฟสเดียวกันกับกระแส ขดลวดแรงดันมีความเหนี่ยวนำสูง และ มีค่า L โดยมีความต้านทานที่ตัดทิ้งได้
เมื่อต่อคร่อมแรงดันต้นกำเนิด ทำให้กระแสในขดแรงดันเท่ากับ V/ ωL ดังนั้น ∅v
α V/ ωL และจะตามแรงดันที่ป้อน 90 องศา ถ้าให้ I
ตาม
V อยู่เท่ากับ ∅
ดังนั้นมุมเฟสระหว่าง
∅I และ ∅v คือ α โดย
α = (90 - ∅ )
ดังนั้นจะแทนลงในสมการ T
= K1 ω∅im∅2m sinα
จะได้ T = VI cos∅
แรงบิดต้านจะมาจากการเบรกแบบกระแสวน
เนื่องจากแม่เหล็กสำหรับเบรกซึ่งอยู่ห่างจากชุดขดลวดกระแสและแรงดัน
เพื่อหลีกเลี่ยงการกวนของสนาม เมื่อจานหมุนไปตัดสนามแม่เหล็กสำหรับเบรกจะเหนี่ยวนำกระแสวนขึ้น
ทำให้เกิดแรงบิดที่จำเป็น แรงบิดในการเบรก
เมื่อ
N คือ
ความเร็วของจาน
R คือ
ความต้านทานของทางเดินกระแสวน ถ้า ∅ และ R คงที่
Tb α N
งานจะได้รับความเร็วคงที่ N เมื่อแรงบิดทั้ง
2
เท่ากัน นั่นคือเมื่อ
T =
Tb และ N α
VI cos∅
ดังนั้น
ความเร็วของการหมุนจานจะเป็นสัดส่วนกับกำลังเฉลี่ยในช่วงเวลาที่กำหนด จำนวนรอบการหมุน N dt จะเป็นสัดส่วนกับ W dt ซึ่งก็คือพลังงานที่ใช้ไป
watt hour meter
วัตต์ฮาวร์มิเตอร์ ส่วนใหญ่เป็นเครื่องวัดที่ทํางานด้วยการเหนี่ยวนําไฟฟ้า ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อวัดปริมาณกําลังไฟฟ้ากระแสสลับทั้งในบ้านเรือน และในโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีหน่วยวัดพลังงานไฟฟ้าเป็นกิโลวัตต์ชั่วโมง (Kilowatt-hour) สามารถจําแนกตามระบบไฟฟ้าได้ 2 ประเภท ดังนี้
วัตต์ฮาวร์มิเตอร์
1 เฟส (single phase watt-hour meter) มีหลักการทํางานเหมือนกับวัตต์มิเตอร์ชนิดที่ทํางานด้วยการเหนี่ยวนําไฟฟ้า
และมีส่วนประกอบที่เหมือนกันคือ ขดลวดกระแสไฟฟ้า (Current coil) และขดลวดแรงดันไฟฟ้า (Potential coil)ส่วนที่แตกต่างกันก็คือในวัตต์มิเตอร์จะแสดงค่าด้วยการบ่ายเบนของเข็มชี้
ซึ่งใช้ชี้ค่าบนสเกลส่วนวัตต์ฮาวร์มิเตอร์จะแสดงค่าโดยใช้แม่เหล็กเหนี่ยวนําให้เกิดกระแสไหลวนทําให้จานหมุนและใช้ชุดเฟืองไปขับชุดตัวเลขหรือชุดเข็มชี้ให้แสดงค่าออกมาบนหน้าปัทม์
1). โครงสร้าง ดังรูปประกอบด้วยขดลวดกระแสต่ออนุกรมกับโหลด
และขดลวดแรงดันต่อขนานกับโหลด
ขดลวดทั้งสองชุดจะพันอยู่บนแกนเหล็กที่ออกแบบโดยเฉพาะและมีจานอะลูมิเนียมบาง ๆ
ยึดติดกับแกนหมุน วางอยู่ในช่องว่างระหว่างขดลวดทั้งสอง
รูป
โครงสร้างของวัตต์ฮาวร์มิเตอร์ 1 เฟส แบบเหนี่ยวนําไฟฟ้า
2). หลักการทํางาน ขดลวดกระแสและขดลวดแรงดันทําหน้าที่สร้างสนามแม่เหล็กส่งผ่านไปยังจานอะลูมิเนียมที่วางอยู่ระหว่างขดลวดทั้งสอง
ทําให้เกิดแรงดันไฟฟ้าเหนี่ยวนํา และมีกระแสไหลวน (Eddy current) เกิดขึ้นในจานอะลูมิเนียม แรงต้านระหว่างกระแสไหลวน
และสนามแม่เหล็กของขดลวดแรงดันจะทําให้เกิดแรงผลักขึ้น จานอะลูมิเนียมจึงหมุนไปได้
ที่แกนของจานอะลูมิเนียมจะมีเฟืองติดอยู่
เฟืองนี้จะไปขับชุดตัวเลขที่หน้าปัทม์ของเครื่องวัด
แรงผลักที่เกิดขึ้นจะเป็นสัดส่วนระหว่างความเข้มของสนามแม่เหล็กของขดลวดแรงดันและกระแสไหลวนในจานอะลูมิเนียม
และขึ้นอยู่กับจํานวนรอบของขดลวดด้วย
ส่วนจํานวนรอบการหมุนของจานอะลูมิเนียมขึ้นอยู่กับการใช้พลังงานไฟฟ้าของโหลด
วัตต์ฮาวร์มิเตอร์
3 เฟส แบบ 3 จานหมุนและ 2 จานหมุน
1).ส่วนประกอบ เครื่องวัดแบบนี้มีส่วนประกอบเหมือนกับวัตต์มิเตอร์ชนิด 3 เฟส หรือ อาจจะเอาวัตต์ฮาวร์มิเตอร์หนึ่งเฟส 3 ตัวมาประกอบร่วมกันเป็น วัตต์ฮาวร์มิเตอร์สามเฟส
2).หลักการทํางาน อาศัยการทํางานเหมือนกับวัตต์มิเตอร์ชนิดเหนี่ยวนําไฟฟ้า
3).การนําไปใช้งาน การต่อใช้งานวัตต์ฮาวร์มิเตอร์สามเฟสแบบ
3 จานหมุนดังรูปหรืออาจจะนําวัตต์ฮาวร์มิเตอร์หนึ่งเฟส 2
ตัวมาประกอบร่วมกันเป็นกิโลวัตต์ฮาวร์มิเตอร์ 3 เฟส แบบ 2 จานหมุน
รูป วงจรการต่อวัตต์ฮาวร์มิเตอร์ชนิดอาศัยการเหนี่ยวนำไฟฟ้า แบบ 2 จานหมุน
รูป วงจรการต่อวัตต์ฮาวร์มิเตอร์ชนิดอาศัยการเหนี่ยวนำไฟฟ้า แบบ 3 จานหมุน
เครื่องวัดพลังงานไฟฟ้า (KILOWATT HOUR METER)
เป็นเครื่องวัดสำหรับวัดการใช้พลังงานไฟฟ้ามี หน่วยวัดเป็นกิโลวัตต์ชั่วโมง (kW-hrs) ซึ่งจะมีค่าเท่ากับ 1000 วัตต์ ใน 1 ชั่วโมง และอุปกรณ์ที่วัดนี้มีชื่อเรียกว่า กิโลวัตต์ – ชั่วโมง มิเตอร์ ( Kilowatt – Hour Meter ) หรือ วัตต์อาว์มิเตอร์ สัญลักษณ์ Kwh ใช้สำหรับวัดพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ไปในแต่ละชั่วโมง เรียกว่า กิโลวัตต์-ชั่วโมง หรือ ยูนิต ( Unit )มักใช้เป็นเครื่องวัดหน่วยการใช้ไฟฟ้าในอาคาร บ้านเรือน หรือโรงงานอุตสาหกรรมทั่ว ๆ ไป
ดังนั้นจึงสามารถนำค่าพลังงานที่วัดมาได้มาใช้ในการคำนวนเรียกเก็บค่าใช้จ่ายไฟฟ้าในแต่ละเดือน
สามารถคำนวนหาค่าพลังงานที่ถูกใช้ไปได้จากสูตรดังต่อไปนี้
พลังงานที่ถูกใช้ไป = กำลังไฟฟ้า x เวลา --------- สมการที่ 1
W = Pt (Watt-hr) ----------สมการที่ 2
โดยปกติหน่วยของพลังงานไฟฟ้า เป็นวัตต์.วินาที ถ้านำมาใช้กับพลังงานที่ใช้ จะไม่เหมาะสม เพราะเป็นหน่วยเล็ก ในทางปฏิบัติจึงคิดพลังงานไฟฟ้าเป็นกิโลวัตต์.ชั่วโมง
ตัวอย่างการคำนวณอย่างง่าย
จงคำนวณหาค่าพลังงานไฟฟ้าถ้าหลอดไฟขนาด 100 วัตต์ ถูกเปิดไว้นาน 10 ชั่วโมง
วิธีทำ
จากสมการที่ 2
แทนค่าจะได้ W = 0.1kW x 10 hr = 1 kW- hr
แทนค่าจะได้ W = 0.1kW x 10 hr = 1 kW- hr
ตอบ ค่าพลังงานไฟฟ้าที่ถูกใช้ไปเป็นจำนวน 1 กิโลวัตต์-ชั่วโมง หรือ 1 ยูนิต
ข้อระมัดระวังและการบำรุงรักษาวัตต์มิเตอร์
1. การวัดค่ากำลังไฟฟ้าในวงจร ควรศึกษาการใช้งานวัตต์มิเตอร์ให้เข้าใจเป็นอย่างดีก่อน
2. ต้องคำนึงถึงขั้วการวัดตามคู่มือของวัตต์มิเตอร์ที่นำไปวัดด้วย ถ้านำสายวัตต์มิเตอร์ไปวัดต่อผิดขั้ว ก็จะทำให้ค่ากำลังที่ได้ผิดพลาดหรืออาจทำความเสียหายได้
3. ในการวัดต้องคำนึงถึงย่านวัดด้วย เนื่องจากค่าที่ได้จากเข็มชี้ต้องนำมาคูณกับตัวคูณซึ่งค่าคูณในแต่ละย่านวัดมีค่าไม่เท่ากัน
4. ในการปรับย่านวัดแต่ละครั้ง ควรนำสายวัดออกจากจุดวัดก่อนเสมอ
5. ป้องกันมิให้วัตต์มิเตอร์ได้รับการกระทบกระเทือน ฝุ่นละออง ความชื้นและความร้อน
6. ในการวัดต้องระมัดระวังอันตรายจากไฟฟ้าดูดได้ โดยเฉพาะในย่านการวัดกำลังที่ค่าแรงดันสูง ๆ
การคำนวณหาค่าไฟ
1. มิเตอร์จะมีอยู่หลายแบบ ถ้ามิเตอร์ตามบ้านจะเป็น 220 V เข้าออกตรง จะอ่านตัวเลข 4 ตัวและทศนิยม 1 ตัว ทุกครั้ง และเอาตัวเลขปลายเดือนลบด้วยตัวเลขต้นเดือน ก็จะได้ค้า หน่วย/เดือน(kWh/เดือน) จะได้ปริมาณมาแล้วเอาไปคูณ กับจำนวนเงินบาทต่อหน่วย เช่น ต้นเดือนจดได้ 2222.3 ปลายเดือนจดได้ 3333.3 ก็จะได้ 3333.3-2222.3 = 1111 kWh(หน่วย) แล้วเอาไปคูณกับจำนวนเงิน/หน่วย ถ้า 7 บาท/หน่วย ก็ = 1111 X 7 = 7,777 บาท/เดือน
2.มิเตอร์แบบ 3 เฟส เข้าออกตรงจะมีตัวเลข 5 ตัวจะไม่มีทศนิยม ก็มีไฟเข้า 3+N และออก 3+N เท่ากัน สังเกตุจะมีรูอยู่ 8 รูเข้าสายไฟ การอ่านก็ เอาตัวเลขที่จดได้ปลายเดือน ลบด้วยตัวเลขที่จดได้ต้นเดือน ก็จะได้ kWh/เดือน(หน่วย/เดือน) แล้วเอาไปคูณกับจำนวนเงินต่อหน่วยได้เลย
3.มิเตอร์ 3 เฟสแบบคล้อง CT มิเตอร์จะมีตัวเลข 4 ตัวและทศนิยม 1 ตัว ทุกครั้งสังเกตุมี 10 รูเข้าสายไฟ วิธีการอ่านก็จะหาค่า CT ที่เราเอามาคล้องก่อนถ้า CT = 1000/5 ตัวคูณมิเตอร์ก็จะ = 200 (CTคือตัวเเปลงกระแส เพราะเราไม่มีมิเตอร์ตัวใหญ่ๆ) การอ่านเอาตัวเลขปลายเดือนลบด้วยตัวเลขต้นเดือน ก็จะได้ตัวเลขขึ้นมาแล้วค่อยเอาไปคุณกับตัวคูณ ถ้าในตัวอย่างก็ = 200 จึงจะได้ kWH/เดือน(หน่วย/เดือน)แล้วเอาไปคูณกับจำนวนเงินต่อหน่วย เช่น ต้นเดือนจดได้ 2222.3 ปลายเดือนจดได้ 3333.3 ก็จะได้ 3333.3-2222.3 = 1111 แล้วเอาไปคูณตัวคูณ คือ 200 ก็จะ = 1111.0 X 200 = 222,200 kWH/เดือน(หน่วย/เดือน) แล้วเอาไปคูณกับจำนวนเงิน/หน่วย ถ้า 3.5 บาท/หน่วย ก็ = 222,200 X 3.5 = 777,700 บาท/เดือน
2.มิเตอร์แบบ 3 เฟส เข้าออกตรงจะมีตัวเลข 5 ตัวจะไม่มีทศนิยม ก็มีไฟเข้า 3+N และออก 3+N เท่ากัน สังเกตุจะมีรูอยู่ 8 รูเข้าสายไฟ การอ่านก็ เอาตัวเลขที่จดได้ปลายเดือน ลบด้วยตัวเลขที่จดได้ต้นเดือน ก็จะได้ kWh/เดือน(หน่วย/เดือน) แล้วเอาไปคูณกับจำนวนเงินต่อหน่วยได้เลย
3.มิเตอร์ 3 เฟสแบบคล้อง CT มิเตอร์จะมีตัวเลข 4 ตัวและทศนิยม 1 ตัว ทุกครั้งสังเกตุมี 10 รูเข้าสายไฟ วิธีการอ่านก็จะหาค่า CT ที่เราเอามาคล้องก่อนถ้า CT = 1000/5 ตัวคูณมิเตอร์ก็จะ = 200 (CTคือตัวเเปลงกระแส เพราะเราไม่มีมิเตอร์ตัวใหญ่ๆ) การอ่านเอาตัวเลขปลายเดือนลบด้วยตัวเลขต้นเดือน ก็จะได้ตัวเลขขึ้นมาแล้วค่อยเอาไปคุณกับตัวคูณ ถ้าในตัวอย่างก็ = 200 จึงจะได้ kWH/เดือน(หน่วย/เดือน)แล้วเอาไปคูณกับจำนวนเงินต่อหน่วย เช่น ต้นเดือนจดได้ 2222.3 ปลายเดือนจดได้ 3333.3 ก็จะได้ 3333.3-2222.3 = 1111 แล้วเอาไปคูณตัวคูณ คือ 200 ก็จะ = 1111.0 X 200 = 222,200 kWH/เดือน(หน่วย/เดือน) แล้วเอาไปคูณกับจำนวนเงิน/หน่วย ถ้า 3.5 บาท/หน่วย ก็ = 222,200 X 3.5 = 777,700 บาท/เดือน
เอกสารอ้างอิง
1). การวัดและเครื่องวัดไฟฟ้า รศ.ดร. เอก ไชยสวัสดิ์
2). http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=yaovarit&month=07- 2013&date=22&group=1&gblog=12
3). http://www.tice.ac.th/Online/Online2-2547/nuttapong/nutt3.htm
4). http://www.vcharkarn.com/vcafe/54325
5). http://www.neutron.rmutphysics.com/teaching-glossary/index.php?option=com_content&task=view&id=8596&Itemid=12
5). http://www.neutron.rmutphysics.com/teaching-glossary/index.php?option=com_content&task=view&id=8596&Itemid=12
6). http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/khonkhan/electric/content/
11_4.htm
จัดทำโดย
นายสุภศิน พรพงศ์ไพศาล และ นายภาณุพงศ์ ชาญกิจกรรณ์
นักศึกษาชั้นปีที่ 2 ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ขอบคุณครับ
ตอบลบhttp://5000watt-generator.com/
Phongvilat.see2015@gmail.com
ตอบลบ